ทวีปเอเชีย แหล่งทำเลทองที่แบรนด์ดังทั่วโลกต้องการ

รายงานล่าสุดที่จัดทำโดยซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาและบริหารอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น เป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้ประกอบการค้าปลีกจากทั่วโลกให้ความสนใจ ในการเข้ามาตั้งฐานขยายธุรกิจเป็นอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

โดยซีบีอาร์อีพบว่า ในปีที่ผ่านมาภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีผู้เล่นจากภาคค้าปลีกใหม่ ๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 23% หรือ 464 ราย นำโดยโตเกียวเมืองที่เนื้อหอมที่สุด มีการเข้ามาเปิดตลาดของรีเทลเลอร์หน้าใหม่ถึง 63 ราย ตามด้วยสิงคโปร์ 58 ราย ไทเป 49 ราย และปักกิ่ง 34 ราย

ในจำนวนนั้น ธุรกิจค้าปลีกที่เข้ามาแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ มากที่สุด พบว่าเป็นเซ็กเมนต์ของ "สินค้าลักเซอรี่" คิดเป็นสัดส่วนถึง 22.6% ในขณะที่เซ็กเมนต์ที่เติบโตขึ้นรวดเร็วที่สุด คือ กลุ่มของร้านกาแฟ และร้านอาหารต่าง ๆ คิดเป็นสัดส่วน 22.4% จาก 14.8% ในปี 2556 ที่ผ่านมา 

ส่วนประเทศที่มีผู้ประกอบการข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคนี้มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 24% ส่วนอันดับ 2 ร่วม คือ อิตาลี และสหราชอาณาจักร คิดเป็นสัดส่วน 11% ตามมาด้วยอันดับ 4 คือ ฝรั่งเศส คิดเป็นสัดส่วน 10.5% ในขณะที่ผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นเองก็มีหน้าใหม่ที่ต้องการรุกตลาดภูมิภาคอยู่ไม่น้อย เป็นอันดับ 5 หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.9% 

"โจนาธาน ซู" หัวหน้าฝ่ายวิจัยการตลาดฟซีบีอาร์อี เอเชีย ให้ความเห็นว่า บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกต่างชาติต่างมองไปยังศักยภาพในระยะยาวของตลาดเอเชีย-แปซิฟิก โดยเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งธุรกิจในตลาดที่ผู้บริโภคมีความพร้อมดีแล้วอย่างญี่ปุ่น หรือฮ่องกง ก่อนที่จะใช้ฐานเหล่านี้เพื่อแนะนำตัวเองออกไปสู่ตลาดอื่น ๆ ภายในภูมิภาค 

ในปีที่ผ่านมา โตเกียวจัดอยู่ในอันดับแรกของเมืองที่ค้าปลีกจากต่างชาติต้องการเข้ามาทำตลาดมากที่สุด โดยสิ่งที่ดึงดูดให้ทั่วโลกจับจ้องมายังที่นี่ คือ การเป็นประตูสู่ปัจจัยการเติบโต จากการบริโภคภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น และในอีก 5 ปีข้างหน้า โตเกียวจะเป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน เช่นเดียวกับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะย่านการค้าและช็อปปิ้งที่มีความต้องการเข้มข้นมากที่สุด

"ซู" ได้ระบุเพิ่มเติมว่า สิงคโปร์และฮ่องกงเองก็ได้รับความสนใจจากรีเทลเลอร์ต่างชาติไม่น้อย และยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการค้าปลีกในฮ่องกงจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรับกับสถานการณ์ที่ความต้องการของสินค้าลักเซอรี่ได้หดตัวลง สาเหตุจากนโยบายต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลจีน ในขณะที่ปัญหาหลักของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจในสิงคโปร์ ก็คือเรื่องแรงงานที่กำลังขาดแคลนอย่างหนัก 

"การหลั่งไหลเข้ามาของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นและลักเซอรี่จากทั่วโลกในซิดนีย์ และเมลเบิร์น ส่งผลให้ราคาค่าเช่าในไพรมโลเกชั่นพุ่งสูงขึ้น และจากนี้ไปเราจะเห็นพื้นที่เหล่านั้นมีความคึกคักมากขึ้น จากการขยายตัวของแบรนด์ใหม่ ๆ ไปจนถึงร้านแฟลกชิปต่าง ๆ ซึ่งการทำตลาดก็จะแตกต่างออกไปตามแต่ละพื้นที่ความชอบของผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ" 

ทางด้าน "โจเอล สเตฟาน" หัวหน้าผู้แทนธุรกิจค้าปลีกซีบีอาร์อี เอเชีย ให้ความเห็นต่อไปว่า ปัจจัยที่ทำให้เอเชีย-แปซิฟิกได้รับความสนใจจากนักธุรกิจทั่วทุกมุมโลก คือ การขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง และการขยายตัวของความเป็นเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจากข้อมูลการเข้ามาขยายฐานทำตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศต้องปรับตัว โดยแสวงหาพื้นที่ทางการตลาดใหม่ ๆ นอกประเทศมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดตลอดจนการแย่งชิงพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด

"ในปีนี้เราคาดว่าภาคค้าปลีกในภูมิภาคนี้ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการระมัดระวังในการขยายตัวของผู้ค้าบางรายก็ตามการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ จะถูกทำอย่างเข้มข้นมากขึ้น ทั้งระบบเน็ตเวิร์ก การประเมินสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของตลาด"

โดย "สเตฟาน" ชี้ว่า กลุ่มที่คาดว่าจะมีความคึกคักมากที่สุด คือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากผู้บริโภคเองมีความสนใจ และเจ้าของพื้นที่ก็ต้องการหาแม็กเนตใหม่ ๆ มาเสริมทัพ 

ส่วนการขยายตัวของกลุ่มสินค้าลักเซอรี่จะนำโดยแบรนด์ย่อย ๆ ที่อยู่ภายใต้เครือของบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือแบรนด์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเปิดตัวมาก่อนในภูมิภาค โดยตลาดที่แบรนด์ดังกล่าวให้ความสนใจ คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย

ที่มา