นวัตกรรมไอที สู่การศัลยกรรม

จากนวัตกรรมไอที มาสู่ศัลยกรรมทางการแพทย์ 
ก่อนที่จะทำศัลยกรรมเราสามารถใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพ 3 มิติ จำลองใบหน้าก่อน-หลังผ่าตัดให้ดูได้ก่อนหรือไม่ ซึ่งผมเองเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับศาสตร์ต่าง ๆ อย่างเป็นสหวิทยาการมีให้เห็นบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ ซึ่งหนึ่งในศาสตร์ที่ไอทีเข้าไปผสมผสานด้วยก็คือ นวัตกรรมการทำศัลยกรรมทางการแพทย์

ซึ่งถ้ามองในมิติของการทำศัลยกรรม ในปัจจุบันการทำศัลยกรรมความงามเริ่มได้รับการยอมรับจากสังคมในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในวัยรุ่นคนหนุ่มสาว ทั้งเสริมจมูก ทำตาสองชั้น หรือแม้แต่ทำหน้าอก บางคนถึงขนาดที่ว่าทำแล้วทำอีก ซึ่งเหตุผลอาจจะเป็นเพราะวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีและเทคนิคทางการแพทย์ที่ดีขึ้นในปัจจุบันนี้ที่ช่วยให้คนไข้มีแผลจากการทำศัลยกรรมเล็กลง เจ็บแผลน้อยลง แผลหายเร็วขึ้น และได้ความสวยที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยความที่มีคนต้องการทำศัลยกรรมมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามก็ผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด เรียกว่าตลาดศัลยกรรมทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมาก

แต่คำถามคือ ก่อนที่จะทำศัลยกรรมเราสามารถใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพ 3 มิติ จำลองใบหน้าก่อน-หลังผ่าตัดให้ดูได้ก่อนหรือไม่ ซึ่งผมเองเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสมัยผมเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 5-6 ปีก่อน มีการใช้คอมพิวเตอร์ 3 มิติ สร้างแบบจำลองใบหน้าก่อน-หลังผ่าตัดให้ดู แต่พักหลังเท่าที่ทราบเริ่มเห็นเงียบไปด้วยหลาย ๆ เหตุผล

พอดีเมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดในประเด็นนี้กับผู้บริหารของโรงพยาบาลบางมด นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล ผู้ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง คุณหมอเล่าให้ผมฟังครับว่าสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ 3 มิติ จำลองใบหน้าก่อน-หลังผ่าตัดนั้น เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานพอสมควรแล้วอย่างที่ผมทราบ และที่ประเทศไทยเองก็มีใช้ครับ จุดประสงค์ก็เพื่อสื่อสารให้เข้าใจตรงกันระหว่างแพทย์และคนไข้ว่าก่อนที่จะมีการทำศัลยกรรมและภายหลังจากทำศัลยกรรม ใบหน้า หรือ หน้าอกจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อมีบวก ก็ต้องมีลบเช่นกัน เพราะระยะหลังเกิดปัญหาตามมาคือ คนไข้จะคาดหวังสูงเกินไป ประกอบกับเนื้อเยื่อของแต่ละคนแตกต่างกันครับ และไม่สามารถจะปรับแต่งได้ตามต้องการเหมือนในคอมพิวเตอร์ ดังนั้น จึงเกิดความไม่พึงพอใจกัน หรือถ้าทำได้ก็อาจจะไม่ปลอดภัยทางการแพทย์ ทำให้ปัจจุบันทั่วโลกไม่ค่อยมีการใช้เทคโนโลยีนี้กันครับ

อย่างไรก็ดีในเชิงเทคนิคทางการแพทย์ คุณหมอธนัญชัย เล่าให้ผมฟังต่อครับว่ามีอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ในวงการแพทย์นิยมใช้กันปัจจุบันก็คือ การใช้เครื่อง CT (Computed Tomography) และ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งจะใช้ในการวิเคราะห์กระดูกใบหน้า ทำให้สามารถสร้างมาเป็นรูปร่างให้เห็นคร่าว ๆ ว่ากระดูกหน้าของคนไข้เป็นแบบไหน แล้วเมื่อทำเสร็จแล้วจะเป็นแบบไหน ซึ่งข้อมูลพวกนี้จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะให้คำปรึกษาและเป็นแนวทางให้คนไข้ได้พิจารณาก่อนทำการผ่าตัด

คุณผู้อ่านเห็นไหมครับว่าการบูรณาการสองศาสตร์ระหว่างเทคโนโลยีดิจิตอลกับการทำศัลยกรรมทางการแพทย์เข้าหากัน แม้จะมีการสร้างนวัตกรรมใหม่มาคอยอำนวยความสะดวกได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีปัญหานะครับ และในบางปัญหาก็ไม่ใช่แก้ได้ง่าย ๆ

แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราถอยออกมามองภาพในมุมกว้างในระดับมหภาค มองป่าทั้งป่า จะสังเกตเห็นว่าการพัฒนาอะไรที่เป็น Breakthrough Innovation ระดับโลกในปลายศตวรรษที่ 20 มาจนถึงปัจจุบัน ก็มาจากความกล้าที่จะลุกขึ้นมาแก้ปัญหาพื้น ๆ ที่ในบางครั้งเรานึกไม่ถึงด้วยซ้ำไป แล้วอาศัยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิตอลผสมผสานกับศาสตร์ความรู้ดั้งเดิมที่เกี่ยวข้อง พัฒนาสรรค์สร้างออกมาเป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์สุดยอดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะฉะนั้นคนไทยเองต้องอย่ากลัวครับถ้าเจอปัญหา ต้องพยายามคิดหาวิธีแก้ไขอย่างถูกต้อง แล้วอาศัยการบูรณาการเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันเข้าไปให้ลงตัวที่สุดเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้.

ที่มา: