เทคโนโลยี 5G กับการสานฝันสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของประสาทสัมผัส

เทคโนโลยี 5G กับการสานฝันสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของประสาทสัมผัส

หมวดหมู่: บทความทั่วไปข่าวไอที

เทคโนโลยี 5G กับการสานฝันสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของประสาทสัมผัส
ในขณะที่ประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตของพวกเราในทุกวันนี้ยังคงจำกัดอยู่ในโหมดการรับรู้ภาพและเสียงเป็นส่วนใหญ่ สถาบันวิจัยระดับโลกของอีริคสัน ผู้นำเทคโนโลยีการสื่อสารในระบบ 5G เล็งเห็นว่าโลกของเราจะก้าวเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของประสาทสัมผัส (Internet of Senses) ในปี 2025 และระบบการสื่อสารโดยตรงจากความคิด (Thought Communication) ในปี 2030

อีริคสันได้ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานเทคโนโลยี AR และ VR เป็นกิจวัตรกว่า 7,600 คนทั่วโลกในเมืองใหญ่ๆ อาทิ นิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว เซี่ยงไฮ้ ซานฟรานซิสโก สต็อคโฮล์ม ซิดนีย์  รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ในเรื่องพัฒนาการของระบบอินเทอร์เน็ตว่าเราน่าจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่บนโลกออนไลน์อย่างไรบ้างในอีก 10 ปีข้างหน้า

ซึ่งความคิดเห็นส่วนใหญ่ของกลุ่มสำรวจคือ เราจะเข้าสู่ยุคของ Internet of Senses กล่าวคือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสจะถูกถ่ายทอดผ่านระบบดิจิทัลเพื่อให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้รับประสบการณ์เสมือนจริงอย่างเต็มรูปแบบ และนั่นจะเปลี่ยนแปลงโลกการรับรู้ของเราไปอย่างไร้ขีดจำกัด สถาบันวิจัยอีริคสันเล็งเห็นว่ามี 10 แนวโน้มหลักของผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นและมีผลต่อผู้บริโภคในอนาคต

เทรนด์ที่  1: การใช้ความคิดของเราเป็นอินเตอร์เฟส
เชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะสื่อสารความคิดของเราโดยตรงไปยังระบบปฏิบัติการต่างๆได้ ดังนั้นเราจะสามารถสั่งงานอุปกรณ์ดิจิทัลต่างได้โดยไม่ต้องใช้ เมาส์ คีย์บอร์ด หรืออุปกรณ์การควบคุมใดๆ เพียงเราคิดว่าต้องการอะไร ระบบก็จะสามารถรับคำสั่งและทำงานตามที่เราต้องการได้อย่างสะดวกสะบาย

เทรนด์ที่ 2: การควบคุมเสียง
ในปี 2030 เราจะสามารถควบคุมเสียงต่างๆรอบตัวของเราได้ หากเราอยู่ในที่ๆมีเสียงรบกวนสมาธิเรา เราก็จะสามารถสั่งให้หูฟังของเราสร้าง Digital Sound Bubble ขึ้นมาเพื่อกันเสียงที่เราไม่ต้องการ และเราก็จะสามารถเลือกฟังเสียงที่เราอยากฟังและกำหนดเสียงของตัวเองขึ้นใหม่เพื่อให้คนอื่นได้ยินในแบบที่เราต้องการ หูฟังเหล่านั้นยังสามารถแปลภาษาต่างๆทั่วโลกได้ ทำให้ภาษาต่างประเทศไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารอีกต่อไป

เทรนด์ที่ 3: การรับรู้รสชาติอาหาร
ลองจินตนาการดูสิว่าจะดีสักแค่ไหนที่เราจะรับรู้รสชาติอาหารผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้เพียงนำเอาอุปกรณ์เครื่องรับรสชาติอาหารมาไว้ในปากของเรา เราสามารถสั่งกาแฟผ่านระบบออนไลน์แล้วชิมเพื่อเทสต์ว่ารสหวานมากไปน้อยไปได้ก่อนที่ของจะมาส่งที่บ้าน ร้านอาหารต่างๆยังสามารถส่งรสชาติของเมนูอาหารในร้านไปให้ลูกค้าเลือกชิมและสั่งได้ตามใจชอบ

เทรนด์ที่ 4: การรับรู้กลิ่น
ผู้สร้างภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดเคยคิดกันมาอย่างยาวนานว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ชมสามารถรับรู้อรรถรสในเรื่องกลิ่น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างจริงจังเสียที่ แต่เทคโนโลยี Internet of Senses ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะทำให้เราสามารถรับรู้กลิ่นผ่านระบบดิจิทัลได้ แน่นอนว่าเช่นเดียวกับเทรนด์ที่ 3 ที่ว่าด้วยเรื่องรสชาติ กลิ่นก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอาหารว่าจะอร่อยหรือไม่

เทรนด์ที่ 5: การรับสัมผัส
เชื่อกันว่าอุปกรณ์เสริมการรับรู้อย่าง wrist band หรือ arm band จะมีส่วนทำให้เราสามารถรับรู้สัมผัสของวัตถุต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปร่าง น้ำหนัก หรือแม้กระทั่งผิวสัมผัสของสิ่งเหล่านั้น นอกจากนี้อุปกรณ์ในการฟังอย่าง earphone ก็จะสามารถส่ง sound effect ต่างๆจากการแสดงคอนเสิร์ตและละครเวทีได้อย่างสมจริงมากขึ้น

เทรนด์ที่ 6: ความเป็นจริงและความเสมือนที่จะถูกหลอมรวมกัน
ความเป็นจริงในโลกกายภาพและโลกมายากำลังจะถูกผนวกเข้าด้วยกันจากทั้ง 2 ทาง การรับรู้ของเราผ่านแว่นตา AR จะทำให้เราแทบแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นของจริง สิ่งใดเป็นวัตถุเสมือนหรือเหตุการจำลอง มากกว่าครึ่งของกลุ่มสำรวจคิดว่าเราจะสามารถมองทะลุกำแพงได้ด้วยแว่นตา AR

เทรนด์ที่ 7: สิ่งไหนจริง สิ่งไหนปลอม
จากในเรื่องการหลอมรวมกันของโลกจริงและโลกเสมือน แน่นอนว่าจะต้องมีระบบเพื่อใช้ยืนยันความถูกต้องของอัตลักษณ์บุคคลและข้อมูลต่างๆ เพราะมิเช่นนั้นคงเกิดความสับสนและความไม่มั่นใจในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนบนโลกออนไลน์ ในเมื่อเราสามารถสร้างร่างอวตารและเสียงของเราขึ้นได้อย่างไม่จำกัด ระบบยืนยันตัวตนจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องถูกคิดค้นขึ้น

เทรนด์ที่ 8: กฎหมายและข้อบังคับต้องเท่าทันเทคโนโลยี
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มีหลายประเด็นทางกฏหมายที่จำต้องให้ความใส่ใจ อาทิ ปัญหาในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งข้อมูลสาธารณะและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้แน่ใจได้ว่าภาครัฐสามารถให้ความคุ้มครองต่อประชาชนในเรื่องความปลอดภัยในระดับที่เทียบเท่ากับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของคนเหล่านั้น

เทรนด์ที่ 9: ความเชื่อมต่อและความยั่งยืน
ข้อดีของ Internet of Senses คือ การที่ระบบสามารถจะช่วยลดการเดินทางและการใช้พลังงานได้อย่างมหาศาล ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราสามารถสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้า พวกเราจะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียน ทำงาน หรือแม้กระทั่งไปพบแพทย์ เนื่องจากสามารถทำกิจกรรมเหล่านั้นได้สะดวกสะบายบนเครือข่ายออนไลน์นั่นเอง

เทรนด์ที่ 10: การเข้าถึงเหตุการณ์และรับรู้อารมณ์ร่วม
ในการเอาขีดความสามารถทั้งหมดของ Internet of Senses มาร่วมสร้างประสบการณ์สุดสมจริงให้กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้น เราสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่างๆอย่างเต็มอรรถรส และสามารถมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจลองจินตนาการถึงการไปท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยตอนค่ำๆในคืนวันลอยกระทง ชมการแสดงแสงสีเสียงตระการตา พร้อมชิมอาหารพื้นเมือง อย่าลืมไปว่าทั้งหมดนี้คุณยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากห้องไปไหนเลยนะ

ที่มา:

ไอทีจีเนียส เอ็นจิเนียริ่ง (IT Genius Engineering) ให้บริการด้านไอทีครบวงจร ทั้งงานด้านการอบรม (Training) สัมมนา รับงานเขียนโปรแกรม เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น งานออกแบบกราฟิก และงานด้าน E-Marketing ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้ง SEO , PPC , และ Social media marketting

ติดต่อเราเพื่อสอบถามผลิตภัณฑ์ ขอราคา หรือปรึกษาเรื่องไอที ได้เลยค่ะ

Line : @itgenius (มี @ ด้านหน้า) หรือ https://lin.ee/xoFlBFe
Facebook : https://www.facebook.com/itgeniusonline
Tel : 02-570-8449 มือถือ 088-807-9770 และ 092-841-7931
Email : contact@itgenius.co.th

แนะนำหลักสูตรอบรมที่น่าสนใจ

user
โดย เอ็นโอไอ ไอทีจีเนียส
เข้าชม 2,357 ครั้ง

คำค้นหา : เทคโนโลยี 5gระบบอินเทอร์เน็ตประสาทสัมผัสอีริคสันเทคโนโลยี arเทคโนโลยี vrโลกออนไลน์internet of sensesอินเตอร์เฟสอุปกรณ์ดิจิทัลdigital sound bubbleการรับสัมผัสการรับรู้กลิ่น