แอพแจ้งเหตุร้ายแค่ปลายนิ้วเพียงแค่คลิก police i lert u

ในวินาทีแห่งความเป็น-ความตาย ที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เนื่องจากประสบเหตุด่วน เหตุร้าย การแจ้งเหตุเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจถือเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินความเป็นความตายของผู้ประสบเหตุ การมีช่องทางที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุได้รวดเร็ว จะช่วยให้ตำรวจสามารถเข้าให้การช่วยเหลือ ระงับเหตุ หรือตามจับคนร้ายได้อย่างทันท่วงที

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าในปัจจุบันการแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย โทร. 191 ยังมีข้อจำกัดและมีเสียงบ่นจากประชาชนอยู่ว่าโทรฯ ติดยาก โทรฯติดแล้วกว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุก็ใช้เวลานาน ซึ่งหลาย ๆ คนไม่รู้การแจ้งเหตุมีกระบวนการหลายขั้นตอน ยกตัวอย่างในพื้นที่นครบาลที่รับผิดชอบพื้นที่ของกรุงเทพฯ ทั้งหมด คือ เมื่อผู้แจ้งเหตุโทรฯ เข้าสาย 191 ซึ่งเป็นศูนย์วิทยุผ่านฟ้าของกองบังคับการสายตรวจเเละปฏิบัติการพิเศษ 191 ทางเจ้าหน้าที่รับแจ้งสอบถามรายละเอียดและสถานที่เกิดเหตุแล้ว ก็ต้องวิทยุสื่อสารไปยังศูนย์วิทยุของ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ถึง 9 (บก.น.1-9) ที่แบ่งพื้นที่เขตรับผิดชอบต่าง ๆ ใน กทม.จากนั้นเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิทยุ บก.น.1-9 จึงจะวิทยุสื่อสารไปยังศูนย์วิทยุของสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ในสังกัดของตนที่รับผิดชอบในท้องที่เกิดเหตุ และเมื่อพนักงานวิทยุของ สน.รับเรื่องแล้วจึงวิทยุประสานไปยังตำรวจสายตรวจมอเตอร์ไซค์ และสายตรวจรถยนต์ลงไปตรวจสอบและระงับเหตุที่ได้รับแจ้ง

การสื่อสารกันหลายขั้นตอนกว่าจะถ่าย ทอดกันเป็นทอด ๆ ว่าเกิดเหตุอะไร อยู่ตรงไหน มีคนเจ็บ คนเสียชีวิตหรือไม่ ย่อมต้องใช้เวลา ทำให้การเข้าถึงพื้นที่ต้องใช้เวลาไปด้วย โอกาสที่จะผ่อนหนักเป็นเบาและผ่อนเบาเป็นแคล้ว คลาด หรือสามารถตามจับคนร้ายที่ก่อเหตุได้ทันท่วงทีก็ลดน้อยไปด้วย

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงได้ร่วมกับ บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) พัฒนาแอพพลิเคชั่น โปลิศ ไอ เลิท ยู (police i lert u) ให้ประชาชนชนสามารถแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ผ่านสมาร์ทโฟนเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก ทำให้ตำรวจใน สน.ท้องที่เกิดเหตุรับรู้และเข้าระงับเหตุได้ทันที

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดการช่องทางการรับแจ้งเหตุให้สะดวกรวดเร็วก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุได้เร็วเป็นการช่วยลดปัญหาอาชญากรรมได้ ซึ่งที่ผ่านมา สตช.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางรับแจ้งเหตุ 191 มาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงได้ปรับเปลี่ยนช่องทางการรับแจ้งเหตุให้ทันสมัย ด้วยการร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาแอพพลิเคชั่นโปลิศ ไอ เลิท ยู ขึ้นให้เป็นศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ในภาคดิจิตอล รวดเร็วเพียงกดปุ่มเดียว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญในการรับแจ้งเหตุของ สตช. ให้เข้ากับยุคดิจิตอล

ด้าน พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ปัจจุบันการแจ้งเหตุผ่านสายโทรศัพท์หมายเลข 191 ประมาณวันละ 7,000-8,000 ครั้ง ในจำนวนนี้ 80% เป็นการสอบถามเส้นทาง หรือโทรฯ ด้วยความคึกคะนองไม่มีเหตุจริง และอีก 20% เท่านั้นที่เป็นการโทรฯ ขอความช่วยเหลือ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้าย จึงทำให้ผู้ที่ต้องการแจ้งเหตุร้ายโทรฯ ไม่ติด ทาง สตร. จึงได้นำแอพพลิเคชั่นมาสนับสนุนการแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย โดยกดเพียงครั้งเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเห็นตำแหน่งที่อยู่ของผู้ข้อความช่วยเหลือผ่าน จีพีเอส และสามารถเข้าถึงที่เกิดเหตุได้ภายในไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น โดยขณะนี้สามารถเปิดใช้งานในสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แล้ว ส่วน ระบบไอโอเอสคาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 เดือน จะสามารถใช้งานได้ โดยไม่มีค่าบริการ

“ปัญหาการรับแจ้งเหตุร้าย บางทีผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาแจ้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บริเวณไหน เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาซักถาม หรือบางคนไม่รู้ว่าจะโทรฯ เข้าเบอร์อะไร ทำให้การเข้าถึงที่เกิดเหตุล่าช้าไปด้วย การมีแอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยทำให้การเข้าถึงพื้นที่เร็วยิ่งขึ้น ถือเป็น “นครบาลโมเดล” เนื่องจากระบบจะรับข้อมูลของผู้แจ้งเหตุทันที ตั้งแต่ข้อมูลตำแหน่งการกด ทำให้ผู้แจ้งไม่ต้องอธิบายจุดเกิดเหตุ ขณะที่ข้อมูลจากหมายเลขโทรศัพท์ของผู้แจ้งเหตุจะขึ้นมาในระบบของตำรวจนครบาลทันที ปัญหาการโทรฯ เข้ามาเพื่อก่อกวนจะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมกันนั้นทางผู้แจ้งเหตุสามารถถ่ายรูปเหตุการณ์ และพิมพ์ข้อความแชตส่งมายังระบบได้ทันทีด้วย ซึ่งจะทำให้ตำรวจมีข้อมูลในการระงับเหตุได้” พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ กล่าว

ส่วน นายกิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้โดยไม่คิดค่าบริการเชิงพาณิชย์ ประชาชนที่ใช้งานต้องลงทะเบียนผ่านอีเมลก่อนใช้และเปิดโลเกชั่น เซอร์วิสไว้ โดยข้อมูลในแอพพลิเคชั่นจะอยู่ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้นสามารถรับรู้ข้อมูลเหตุการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอรายงาน ขณะเดียวกันผู้ใช้งานสามารถตั้งกลุ่มของตัวเองและพิมพ์แชตพูดคุยระหว่างกันได้ด้วย ขณะที่ในระบบหลังบ้านทางตำรวจก็มีการตั้งกลุ่มเพื่อใช้คุยสื่อสารเช่นเดียวกัน โดยที่บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องให้แอดมินที่ดูแลระบบหลังบ้านเป็นคนดำเนินการ และเมื่อมีการกดขอความช่วยเหลือเข้ามา และอยู่ในท้องที่ที่รับผิดชอบระบบก็แจ้งโชว์พิกัดสถานที่เกิดเหตุให้ตำรวจทุกคนในท้องที่รู้ ซึ่งจะทำให้ตำรวจที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเข้าไปถึงได้รวดเร็ว การบริหารจัดการกำลังคนทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ขณะนี้มียอดดาวน์โหลดแอพนี้แล้ว 10,000 ราย จำนวนนี้ประมาณ 5,000 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจใน 88 สน. ครอบคลุม บก.น.1-9 ของพื้นที่ตำรวจนครบาล และตั้งเป้าหมายให้มีคนดาวน์โหลดไปใช้งานประมาณ 1 แสนรายภายในสิ้นปีนี้ พร้อมมีแผนขยายพื้นที่ใช้งานไปยังต่างจังหวัดใหญ่ ๆ และเมืองท่องเที่ยวด้วย”

พ.ต.ต.เศรษฐหาญ เศรษฐภากรณ์ สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ ในฐานะผู้ประสานงานโครงการ กล่าวว่า เมื่อเปิดใช้งานระบบอย่างเป็นทางการในต้นเดือน มิ.ย.แล้ว จะมีการประเมินผลทุกเดือน ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาบริหารจัดการได้ว่าพื้นที่ไหนมีการแจ้งข้อความช่วยเหลือเข้ามามาก จัดทำเป็นสถิติอาชญากรรม เพื่อใช้บริหารจัดการกำลังพลให้สอดคล้องในแต่ละพื้นที่ได้ ที่ผ่านมามีการจัดอบรมการใช้งานให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง สำหรับกรณีที่จะมีการกดเข้ามาก่อกวนโดยไม่มีเหตุจริงนั้น ทางตำรวจสามารถติดตามตัวได้เพราะรู้ชื่อเบอร์โทรศัพท์ ตำแหน่งการใช้งาน จึงขอให้อย่าทำเพราะอาจมีความผิดได้ นับเป็นการพัฒนาอีกก้าวของตำรวจไทยที่นำเทคโนโลยีมาสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน.

ขอบคุณที่มาโดย: คุณจิราวัฒน์ จารุพันธ์
JirawatJ@dailynews.co.th