โมบายล์-โซเชียลแรงไม่หยุด

โมบายล์-โซเชียลแรงไม่หยุด! 'เฟซบุ๊ก' แนะภาคโทรคมฯ ใช้เข้าถึงลูกค้า
เฟซบุ๊ก เผยสถิติการใช้งานมือถือและอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนะนำภาคโทรคมนาคมใช้สื่อโซเชียลในการเข้าถึงลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย...

นางสาวเจน แชทเทิล ประธานฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์การสื่อสารฝ่ายมือถือ เฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมให้ความสำคัญกับเรื่องดิจิตอลเป็นอย่างมาก ทำให้ภาคธุรกิจให้ความสนใจและเลือกใช้สื่อออนไลน์ในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมายในจำนวนมากขึ้น รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่าย (โอเปอเรเตอร์) ที่นิยมใช้ช่องทางดังกล่าวมากขึ้น ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่มีความนิยมใช้งานสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดพรีเพด (เติมเงิน) ถือเป็นตลาดที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากในประเทศไทย ผู้ให้บริการจึงนิยมนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อช่วยให้สามารถให้บริการได้มีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ในส่วนของการทำตลาดออนไลน์ในประเทศไทยนั้นมีตัวอย่าง คือ ดีแทคที่เลือกใช้อินสตาแกรมเป็นช่องทางในการทำโฆษณา ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กดังกล่าวมากกว่า 3 ล้านคน และสามารถสร้างยอดการรับชมวิดีโอโฆษณาได้มากกว่า 700,000 ครั้ง

ทั้งนี้ ธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยนั้นยังคงมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากความนิยมใช้งานสมาร์ทโฟนของคนไทย รวมถึงการเปิดให้บริการ 4จี ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมมีการลงทุนเพื่อทำการตลาดผ่านโมบายล์ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 4% เท่านั้น ขณะเดียวกัน ไอดีซี ได้เปิดเผยข้อมูลว่าการทำตลาดส่วนใหญ่ยังคงมุ่งเน้นไปที่สื่อหลักอย่างโทรทัศน์กว่า 60-80% เฟซบุ๊กต้องการผลักดันการลงทุนในส่วนดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมใช้งานอุปกรณ์โมบายล์และโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน

นายเรย์โนลด์ ดีซิลวา หัวหน้ากลุ่มธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยี โทรคมนาคมและการสื่อสารเฟซบุ๊ก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ความแตกต่างระหว่างการทำโฆษณาผ่านโทรทัศน์และเฟซบุ๊ก คือ ความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยเฟซบุ๊กสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้โดยตรงจากการใช้งาน ในขณะที่โทรทัศน์เป็นการเข้าถึงแบบครัวเรือนซึ่งไม่สามารถวัดผลในการเข้าถึงผู้รับสารได้

นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจระบุว่าผู้บริโภคกว่า 9 ใน 10 คน นิยมใช้งานมือถือในขณะที่รับชมโทรทัศน์ และยังใช้งานมือถือทุกครั้งที่มีโฆษณาปรากฏบนโทรทัศน์ ขณะที่คนไทยนั้นใช้เวลาในแต่ละวันกับมือถือค่อนข้างมากเช่นเดียวกับการใช้งานเฟซบุ๊ก รวมถึงสถิติการใช้งานเฟซบุ๊กของคนไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ซึ่งระบุว่ามีจำนวนผู้ใช้งานเฟซบุ๊กผ่านมือถือถึง 34 ล้านคนต่อเดือน จากจำนวนผู้ใช้งานเฟซบุ๊กทั้งหมด 36 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่อินสตาแกรมนั้นมีผู้ใช้งาน 7.1 ล้านคนต่อเดือน

โดยอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นการใช้งานโซเชียลมีเดีย เล่นเกมบนมือถือ สื่อสารผ่านอีเมล และใช้บริการอีคอมเมิร์ซ ทำให้โอเปอเรเตอร์เลือกให้แพ็กเกจการใช้บริการโซเชียลมีเดียไม่จำกัด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคนไทย ซึ่งแนวโน้มการใช้งานดังกล่าวเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีข้อมูลระบุว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ใช้เวลาบนสมาร์ทโฟนเฉลี่ย 173 นาทีต่อวัน ขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้งานทั่วโลกอยู่ที่ 147 นาที ส่วนการรับชมโทรทัศน์นั้น พบว่าผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาเฉลี่ย 94 นาทีต่อวัน ขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 113 นาที

อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กระบุว่าจากผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ผ่านสื่อต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าเฟซบุ๊กเป็นช่องทางสร้างการเข้าถึงได้เพิ่มขึ้นจากโทรทัศน์และช่องทางดิจิตอลอื่นๆ โดยเฟซบุ๊กสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าการใช้สื่อโทรทัศน์ราว 8% ทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางที่หลากหลาย และโฆษณาบนเฟซบุ๊กยังมีประสิทธิภาพและส่งผลมากกว่าสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ถึง 200% อีกด้วย.

ที่มา: