LINE ให้บริการสกุลเงินคริปโตของตัวเองในชื่อ LINK

LINE ให้บริการสกุลเงินคริปโตของตัวเองในชื่อ LINK พร้อมแจกให้ผู้ใช้มูลค่ากว่า 800 ล้านเหรียญ
แม้ตอนนี้จะมีกระแสทั้งลบและบวกเกี่ยวกับ Cryptocurrency ออกมามากมาย แต่ดูเหมือน LINE แอพฯ ชื่อดังจะไม่หวั่นแถมยังเปิดตัว Cryptocurrency ของตัวเองออกมาอีกด้วย โดยสกุลเงินดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า LINK และทาง LINE จะไม่ระดมทุนผ่าน ICO อีกด้วย (ICO คือ รูปแบบการลงทุนชนิดหนึ่งโดยใช้เงิน Cryptocurrency มาระดมทุน)

ซึ่งทาง LINE ก็ได้แจ้งเอาไว้ว่าเหรียญนี้สามารถที่จะใช้เพื่อซื้อทั้งสติกเกอร์ Webtoon และบริการอื่นๆ ของทางแอพฯ ได้ทั้งหมด และสามารถนำเหรียญ LINK มาทำการแลกเปลี่ยนเป็น Cryptocurrency สกุลต่างๆ ได้ใน Bitbox ซึ่งเป็นบริการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลของทาง LINE ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายนได้

แต่ที่น่าจะดึงดูดให้ผู้ใช้สนใจมากกว่านั้นก็คือทาง LINE ได้มีการปล่อยเหรียญ LINK ออกมากว่า 800 ล้านเหรียญเพื่อแจกจ่ายให้กับเหล่าผู้ใช้ที่ทำกิจกรรมต่างๆ ของทางแอพฯ ซึ่งเงินจำนวนมากขนาดนี้ ทาง LINE เองก็คาดว่ามันน่าจะทำให้มีผู้ใช้ที่สนใจและได้เข้าร่วมมากกว่า 200 ล้านรายเลยทีเดียว

แต่ทาง LINE เองก็แอบสะดุดกับปัญหาอยู่พอสมควรเพราะว่าญี่ปุ่นประเทศต้นกำเนิดของทางบริษัทนั้นกำลังอยู่ในช่วงรออนุมัติในเรื่องของการแลกเปลี่ยน Cryptocurrency และการมีสกุลเงินดิจิตอลของตัวเอง (Bitbox ยังไม่สามารถใช้งานได้ในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ) ทำให้ในตอนนี้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถใช้งานเงิน LINK และซื้อขายแลกเปลี่ยนใน Bitbox ได้ตามปกติแต่สำหรับผู้ใช้ในญี่ปุ่นนั้นต้องทำการสะสมแต้มแทน LINK กันไปก่อน เพราะว่า LINK ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

และในส่วนของ ICO นั้น ช่วงปีที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นขึ้นจากทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Futures Trading Commission - CFTC) อีกด้วย ซึ่งทำให้หลายๆ บริษัทนั้นพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการชวนเชื่อกับเหล่าผู้ใช้งานและเลี่ยงการกระตุ้นลูกค้าด้วยการแจกเหรียญในรูปแบบ Airdrops อีกด้วย

และที่ทาง LINE ต้องออกมาเปิดตัว Cryptocurrency ของตัวเองนั่นก็อาจจะเป็นเพราะในช่วงปีที่ผ่านมา LINE มีผู้ใช้งานในตลาดใหญ่ของทางบริษัทลดลง รวมทั้งทางบริษัทเองก็ยังมีคู่แข่งเบอร์ยักษ์อย่าง WhatsApp, WeChat และ Facebook Messenger รอแย่งส่วนแบ่งตลาดอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

ที่มา: