จับตาบิ๊กดีลควบ กรุงไทย-ทีทีบี ขึ้นเบอร์ 1

จับตาบิ๊กดีลควบ กรุงไทย-ทีทีบี ขึ้นเบอร์ 1

หมวดหมู่: บทความทั่วไป

จับตาบิ๊กดีลควบ ‘กรุงไทย-ทีทีบี‘ ขึ้นเบอร์ 1 สินทรัพย์ 5.36 ล้านล้าน


KEY POINTS

  • จับตาบิ๊กดีล ควบรวมครั้งสำคัญของวงการแบงก์ วงในชี้ดีลควบรวม 'กรุงไทย-ทีทีบี'จ่อเกิด
  • ชี้ผลควบรวม ' กรุงไทย-ทีทีบี' หนุนขึ้นเบอร์1 ธุรกิจแบงก์ที่ใหญ่สุด ครองสินทรัพย์ 5.36ล้านล้าน
  • หวังขยายการเติบโต รองรับการเติบโตใหม่ เปิดทางแข่งขันสู่โลกอนาคต 
  • มีความได้เปรียบ มีอำนาจต่อรองเพิ่ม เสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อ-เงินฝาก-ดิจิทัลแบงกิ้ง
  • เปิดผลควบรวม ต้นทุนลดทันที ทั้งจากค่าใช้จ่าบบุคคลกร-สาขาลดฮวบ

ในวงการธนาคาร (แบงก์) กำลังมีการพูดถึงกันเป็นวงกว้าง ถึง “บิ๊กดีล” ระหว่างธนาคารที่ “กระทรวงการคลัง” เป็นผู้ถือหุ้น อย่าง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB

ซึ่งทั้งสองแบงก์ต่างล้วนเคยมีประสบการณ์ผ่านกระบวนการควบรวมกิจการมาแล้ว ดังนั้น บิ๊กดีลที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะมีเป้าหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน 

สะท้อนภาพ หากธนาคารควบรวมกิจการให้มี “ขนาดใหญ่” พอที่จะรองรับสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ได้ ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งรองรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

จ่อขึ้นสู่ ‘Super Bank’ ใหญ่สุดในระบบ

ล่าสุด ถึงตาของ “ธนาคารกรุงไทย-ทหารไทยธนชาต” ที่มีข่าวว่ากำลังอยู่ระหว่างการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ไทยในวงการ “สถาบันการเงิน” เพื่อก้าวขึ้นเป็น “Super Bank” ที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบการเงินไทย

และคาดการควบรวมครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง “แบงก์ใหม่” ก้าวขึ้นมาเป็นแบงก์อันดับ 1 ของระบบได้ในที่สุด โดยดูจาก “ขนาดสินทรัพย์” สองแบงก์ จะอยู่ที่ 5,365,222 ล้านบาท (จากการรวมกรุงไทย 3,645,200 ล้านบาท ,ธนาคารทีทีบี 1,720,022 ล้านบาท)

การควบรวมกิจการยังนำไปสู่ โอกาสในการ “ลดต้นทุน” ของแบงก์ครั้งสำคัญจากการควบรวม ที่จะสามารถลดลงได้จากค่าใช้จ่ายด้านไอที สาขา พนักงานที่ทับซ้อนต่าง ที่จะปรับลดลงมากในอนาคต

คาดจุดประสงค์การควบรวมครั้งนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองธนาคารมองว่า ปัจจุบันธุรกิจธนาคารเริ่มมีข้อจำกัดในการแข่งขันมากขึ้น และเริ่มหา “การเติบโตใหม่ๆ” ได้ยากขึ้น ดังนั้น เพื่อสร้างการโตให้ธุรกิจในอนาคต สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ นั่นคือ การควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธนาคาร 

เพิ่มอำนาจต่อรอง-ได้เปรียบเชิงธุรกิจ

นอกจากขนาดสินทรัพย์ ยังรวมไปถึงฐานลูกค้าที่จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต ที่ทำให้ธนาคารสามารถแข่งขันกับแบงก์ใหญ่ๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้โดยง่ายขึ้น จาก “จุดแข็ง” ของ “กรุงไทย” ที่มีฐานลูกค้าภาครัฐและข้าราชการที่เหนียวแน่น ผนวกกับ “ทีทีบี” ที่มีจุดแข็งในด้านสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ที่ถือเป็นอันดับหนึ่งในตลาด

ไม่เพียงเท่านั้นการ ผสานจุดแข็งของทั้งสองธนาคารในด้าน “ดิจิทัล” จะทำให้ธนาคารยิ่งมีจุดแข็งอย่างมากในการแข่งขันบนโลกอนาคต ที่การแข่งขันบนโลกการเงินจะร้อนแรงมากขึ้น

จากการผสานจุดแข็งจากเทคโนโลยีของทั้งสองธนาคาร ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบน Digital Banking และสร้างความได้เปรียบในอนาคตอย่างหาคู่เปรียบเทียบยาก การรวมกิจการ ไม่เพียงสร้างความแข็งแกร่งให้กับสององค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆให้กับแบงก์ในอนาคตด้วย ในการเปิดรับพันธมิตร คู่ค้า หรือโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต

จุดเริ่มต้น“กรุงไทย”

หากย้อนมาดูจุดเริ่มต้นของธนาคารกรุงไทย มาจาก ถือกำเนิดและเริ่มเปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2509 ที่ถือเป็นธนาคารพาณิชย์เพียงแห่งเดียวของรัฐ และเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง

โดยกรุงไทย ก่อตั้งมาตั้งแต่ 14 มี.ค. 2509 จากการรวมกิจการธนาคารมณฑล และธนาคารเกษตร ธนาคารเริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2532-2537 ซึ่งถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรก และเริ่มเปิดให้ซื้อขายหุ้นตั้งแต่ 2 ส.ค. 2532 เปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารกรุงไทย 

หากดูการประกอบธุรกิจของธนาคารกรุงไทย แม้ด้านกฎหมายจะตีความธนาคารไม่ได้ธนาคารของรัฐ (ตาม พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณฯ ว่าไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่ยังเป็นหน่วยงานรัฐ) ดังนั้น วันนี้ธนาคารกรุงไทยจึงเปรียบเสมือนเป็น “ธนาคารพาณิชย์รัฐ” ถือหุ้น 55.07% โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาพรวมธนาคารกรุงไทย ในปัจจุบันมีสินทรัพย์โดยรวมอยู่ที่ 3,645,200 ล้านบาท ถือเป็นแบงก์ที่มีสินทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศไทย

ผู้นำสินเชื่อรัฐ-ข้าราชการ

หากดูโครงสร้าง “สินเชื่อ” ของธนาคารกรุงไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการให้บริการกับลูกค้าทุกกลุ่ม แต่โครงสร้างสินเชื่อหลักยังอยู่ในกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ถึง 25.7% หรือ 6.94 แสนล้านบาท และสินเชื่อรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ อีก 19% หรือ 5.25 แสนล้านบาท  

ส่วนพอร์ตวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม ในพอร์ตอยู่ที่ 10% หรือ 2.7 แสนล้านบาท ขณะที่สินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 44.7% ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต ฯลฯ ดังนั้น ธนาคารมีทั้งจุดแข็งทั้งฝั่งลูกค้า “ภาครัฐ”และ “กลุ่มลูกค้ารายย่อย” ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของกรุงไทยที่มีเสมอมาคือ มี “รากฐาน” และเครือข่ายแกร่งแข็งสุดในบรรดาทุกแบงก์ในไทย จากการมีสาขา และเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศมากที่สุด ณ ก.พ. 2568 อยู่ที่ 968 สาขาทั่วประเทศ หากรวมต่างประเทศจะอยู่ที่ 974 สาขา

ไม่เพียงแค่ มีความแข็งแกร่งจากพอร์ตลูกค้าสินเชื่อเท่านั้น แต่ธนาคารกรุงไทยยังนับว่าเป็น “ธนาคารดิจิทัลของไทย”ที่ขับเคลื่อนระบบการเงินของรัฐผ่านแอปสำคัญๆ ทั้งเป๋าตัง ถุงเงินที่มีลูกค้าบนดิจิทัลกว่าเกือบ 50 ล้านคน ซึ่งสูงสุดบรรดาธนาคารในระบบของไทย

ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ธนาคารกรุงไทย” ถือเป็นอีกหนึ่งแบงก์ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยทั้งขนาดและเครือข่ายที่มีความหลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ รัฐบาล ไปสู่ทุกกลุ่มลูกค้ารายย่อย ยังไม่นับรวมถึงฐานลูกค้าบนดิจิทัลที่รวมๆ แล้วเกือบกว่า 60 ล้านบัญชี (จากเป๋าตังถุงเงิน-แอป Krungthai NEXT)

จุดเริ่มต้น “ทีทีบี”

ถัดมา คือ “ทีทีบี” หรือธนาคารทหารไทยธนชาต เริ่มแรกก่อนรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ทีทีบีเริ่มต้นมาจาก ธนาคารทหารไทย โดยเริ่มก่อตั้งตั้งแต่ ปี 2500 โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย

มีวัตถุประสงค์หลักในการให้บริการทางการเงินแก่ข้าราชการทหาร ก่อนขยายบริการไปสู่ประชาชนทั่วไป และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 3 ม.ค. 2537 และ 1 ก.ย. 2547 ได้เข้าซื้อกิจการ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

หลังจากนั้นปี 2562 ธนาคารประกาศควบรวมกิจการครั้งสำคัญกับธนชาต และเพิ่งควบรวมกิจการเสร็จสิ้นเมื่อปี 2564 ก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็นธนาคารทีเอ็มบีธนชาตในปัจจุบัน ทำให้หลังควบรวมขึ้นมาเป็นธนาคารพาณิชย์อันดับ 6 และก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม 6 ธนาคารพาณิชย์ ที่ถูกจัดชั้นมีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ (D-SIBs) 

หากดูโครงสร้างสินเชื่อ “ทีทีบี” พบว่าสินเชื่อโดยรวม 1.24 ล้านล้านบาท โดยในนี้พอร์ตสินเชื่อที่ 30% อยู่ในกลุ่มลูกค้าบรรษัท และธุรกิจ และที่เหลือคือ กลุ่มรายย่อยเช่าซื้อ 29% สินเชื่อบ้าน 26% สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล 7% ดังนั้น หากดูโครงสร้างสินเชื่อส่วนใหญ่อยู่ที่ “รายย่อย” 

ธนาคารดิจิทัลแห่งแรกในไทย

ในด้าน “ดิจิทัล” ทีทีบีก็ถือเป็นแบงก์ที่หาตัวจับยากเช่นกัน ทั้งจากความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี ที่เรียกได้ว่าธนาคารถือเป็น “ธนาคารดิจิทัล” เต็มตัว และเป็นแบงก์ที่มาก่อนการทุกครั้งบนโลกดิจิทัล ในการออกผลิตภัณฑ์และบริการบนดิจิทัล โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ทั้งโอนเงิน หรือทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบงก์ไทย “เลิก” ระบบคิดค่าธรรมเนียมบนธุรกรรม โอน ถอน จ่าย ในปัจจุบัน

“ธุรกิจแบงก์” โดดเด่น “จ่ายเงินปันผล”  

นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า มองอุตสาหกรรมธนาคาร ค่อนข้าง Neutral ไม่ได้มองว่าจะเติบโตแรง แต่โดดเด่นในเรื่อง “ปันผล” มากกว่า ขณะเดียวกันรายได้จากดอกเบี้ยน่าจะยังทรงตัว ไม่ได้โดนเด่น

หรือยังมีโอกาสชะลอได้ จากเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง กดดันกำลังซื้อ ต่างประเทศชะลอจากกดดันส่งออกอีก ปัญหาสินค้าราคาถูกยังทะลักเข้ามาไทยกดดันธุรกิจขนาดกลางเล็ก

ทางด้านรายได้ที่อาจจะเพิ่มจะมาจากพวกธุรกิจ wealth management มากกว่าตามอายุคนไทยสูงขึ้น และเทรนด์การลงทุนหุ้นต่างประเทศ พร้อมกับยังเน้นลดต้นทุนจากเทรนด์เรื่อง digital banking ลดค่าใช้จ่ายต่างๆความเสี่ยงการเงินต่ำ เพราะว่าเงินสำรองสูง มากๆ สำหรับอุตสาหกรรมธนาคารไทย

อุตสาหกรรมแบงก์ มีโอกาสชะลอตัว รับศก.ไม่ฟื้น 

นายกรกช เสวตร์ครุตมัตนักวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับอุตสาหกรรมธนาคารในปีนี้ คาดว่ากำไรน่าจะลดลงเล็กน้อย จากสินเชื่อที่เติบโตต่ำ NIM ที่ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่อาจจะมี credit cost ที่พอลดลงได้จากการตั้งสำรองพิเศษที่น่าจะไม่จำเป็นมากเท่ากับปีที่แล้ว และมีมาตรการคุณสู้ เราช่วย มาชะลอหนี้เสีย ( NPLs) ในช่วงปีนี้

สิ่งที่ยังน่าสนใจสำหรับในกลุ่ม จึงยังคงมีเพียงการจ่ายปันผลที่น่าจะยังสูงไปอีก 1-2 ปี ระดับ dividend yield ที่ 7-8% มองหุ้นกลุ่มแบงก์ที่น่าสนใจ มีเพียง TTB เนื่องจากคาดกำไรเติบโตดีสุดในกลุ่มที่ 7% และมีการบริหารจัดการทุนที่หลากหลายอย่าง การซื้อหุ้นคืน และการเพิ่มการจ่ายปันผล คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 7% 


ที่มา: bangkokbiznews.com/finance/investment/1172053

ไอทีจีเนียส เอ็นจิเนียริ่ง (IT Genius Engineering) ให้บริการด้านไอทีครบวงจร ทั้งงานด้านการอบรม (Training) สัมมนา รับงานเขียนโปรแกรม เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น งานออกแบบกราฟิก และงานด้าน E-Marketing ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้ง SEO , PPC , และ Social media marketting

ติดต่อเราเพื่อสอบถามผลิตภัณฑ์ ขอราคา หรือปรึกษาเรื่องไอที ได้เลยค่ะ

Line : @itgenius (มี @ ด้านหน้า) หรือ https://lin.ee/xoFlBFe
Facebook : https://www.facebook.com/itgeniusonline
Tel : 02-570-8449 มือถือ 088-807-9770 และ 092-841-7931
Email : contact@itgenius.co.th

แนะนำหลักสูตรอบรมที่น่าสนใจ

user
โดย Bella
เข้าชม 49 ครั้ง

คำค้นหา : ควบรวมกิจการktb ttbธนาคารmerger and acquisitionm & aกรุงไทยควบทีทีบีบิ๊กดีลธนาคารดิจิทัลsuper bankเพิ่มอำนาจต่อรอง