ไม่อยาก “ตกงาน” เพราะ AI จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
AI (Artificial Intelligence) กลายเป็นสิ่งที่คนพูดกันมากขึ้นแทบทุกวงการ เพราะนับวันความฉลาดของ AI ก็เริ่มน่ากลัวมากขึ้นทุกที มันสามารถทำอะไรต่ออะไรที่ก่อนหน้านี้เราไม่คาดคิดว่ามันจะทำได้ ยิ่งถ้าเห็นความสามารถของ AI ในขณะนี้แล้ว สิ่งที่ใครหลายคนเป็นกังวลก็ใกล้ความจริงมากขึ้นมาทุกที คือ AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ เร็วที่สุดก็ภายใน 5-10 ปีนี้ และคาดว่าจะแทนที่อย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่เกิน 20 ปี
ส่วนลักษณะงานที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่ คือ ลักษณะงานที่ทำแบบกิจวัตร ทำซ้ำ ๆ วน ๆ ทุกวันเพราะหัวใจการทำงานของ AI คือการที่ผู้ใช้ใส่ข้อมูลให้มาก ๆ ในหลากหลายรูปแบบจนมันสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานในลักษณะนั้นได้ เมื่อมันเรียนรู้แล้ว ก็จะทำวนไปตามรูปแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น หากไม่อยากโดน AI แย่งงานจนกลายเป็นคนตกงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้วล่ะก็ เราควรที่จะต้องปรับตัว แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ Tonkit360 มีคำแนะนำ
1. เตรียมตัวรับมือ
เป็นความคิดที่พื้นฐานที่สุดแล้ว เพราะทุกวันนี้ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องที่จะรู้เฉพาะคนที่มีการศึกษาสูง ๆ อีกต่อไป เนื่องจากคนกลุ่มแรก ๆ ที่จะถูก AI แย่งงาน คือแรงงานฝ่ายผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แม้จะฟังดูสิ้นหวังแต่เราต้องไม่หมดหวัง ในเมื่อเราก็พอจะรู้แล้วว่า AI ฉลาดมากแค่ไหน และในอนาคตจะต้องฉลาดขึ้นอีกแน่นอน ถ้าประเมินรอบด้านแล้วรู้ว่ายังไงก็สู้เทคโนโลยีตัว AI ไม่ได้ คงต้องมองหาลู่ทางใหม่ หรือเตรียมแผนสำรองไว้ว่าถ้าวันใดเกิดตกงานขึ้นมากะทันหันจะทำอย่างไร ซึ่งตอนนี้ยังพอมีเวลาให้คิดวางแผน จะได้ไม่จวนตัวนัก
2. เรียนรู้ที่จะทำงานกับ AI
เมื่อประเมินความสามารถของตนเองแล้วพบว่าตัวเองยังเอาตัวรอดในยุคที่ AI ครองเมืองได้อยู่ จะดีกว่าไหมถ้าเราจะพยายามขึ้นอีกนิดเพื่อให้ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างสงบสุข พูดง่ายก็คือ ไหน ๆ ก็คงห้ามบริษัทไม่ให้เอา AI มาทำงานไม่ได้ ก็ใช้ประโยชน์จาก AI เสียเลย
จากการศึกษาของ Carl Benedikt Frey และ Michael A. Osborne นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกล่าวว่า ข้อจำกัดของ AI ที่ยังทำงานแทนคนในระยะเวลาอันใกล้นี้ไม่ได้ คือ งานที่ใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ความประณีต และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ในเมื่อเรารู้แล้วว่า AI ทำอะไรได้ไม่ได้ ก็ใช้ความสามารถของตนเองไปเติมเต็มจุดด้อยของมันซะ อย่างน้อย ๆ เราก็ยังพอทำงานเป็นคู่หูกับ AI ได้
3. พัฒนาทักษะและความสามารถ
ถึง AI จะฉลาด แต่ AI ก็เกิดขึ้นมาเพราะสติปัญญาของคน ฉะนั้น ยังไม่สายที่จะพัฒนาตัวเอง ถึงจะฉลาดเท่าหรือมากกว่าไม่ได้ (เพราะเป็นไปได้ยาก) แต่ก็ยังจะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่าคนที่ไม่คิดจะปรับตัวอะไรเลย ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดในปีนี้ ก็คือตลาดแรงงานได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทั้งผลพวงจากโรคระบาดที่หลายคนต้องพักการทำงาน แต่ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ไม่ได้หยุดพัฒนา และพร้อมที่จะขึ้นมามีบทบาทแทนมนุษย์ในอนาคตอันใกล้
อีกทั้งการแข่งขันระหว่างธุรกิจในปัจจุบันก็ค่อนข้างสูง เพราะต่างก็ต้องพยุงให้ธุรกิจตัวเองอยู่รอด การลดต้นทุนเป็นสิ่งแรกที่องค์กรจะทำ ทำให้บุคลากรที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดก็เสี่ยงตกงานสูง จึงจำเป็นที่เราควรจะพัฒนาทักษะความสามารถของตนเอง อย่างน้อยก็ควรจะพัฒนาในสิ่งที่ตนเองชอบหรือถนัดให้ได้บ้าง เช่น ทักษะทางภาษาที่ 2 ที่ 3 ทักษะทางเทคโนโลยี (จะได้ใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับ AI ได้) ทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (เพราะ AI ไม่มีสังคมเหมือนมนุษย์) ทักษะในการคิดวิเคราะห์ การรับมือปัญหาที่ซับซ้อน เป็นต้น
4. ฝึกทำอะไรให้ได้มากกว่าหนึ่งอย่าง
เป็นปกติขององค์กร ที่ในใจลึก ๆ เขาก็อยากให้บุคลากรทำงานได้มากกว่า 1 อย่าง ต้องไม่ลืมว่านี่คือการทำธุรกิจ ที่แต่ละองค์กรต่างก็ต้องแสวงหาผลกำไร การจ้างงานคนก็ย่อมต้องการผู้ที่จ้างแล้วคุ้มที่สุด นั่นแปลว่าบุคลากรที่เงินเดือนค่อนข้างสูง บริษัทอาจคาดหวังว่าควรจะทำอะไรได้มากกว่าหน้าที่ประจำ อย่างน้อยก็เพิ่มมาอีกสักอย่างสองอย่าง จะได้ไม่ต้องจ้างบุคลากรเพิ่มเพื่อลดต้นทุน เพราะการที่บริษัทต่าง ๆ นำ AI มาใช้กับธุรกิจก็เพื่อลดกำลังคน
เนื่องจาก AI เป็นเทคโนโลยีที่ลงทุนแค่ครั้งเดียวแต่สามารถใช้งานได้หลายปี AI และไม่มีปากมีเสียง ในขณะที่แรงงานคนต้องจ่ายค่าจ้างทุกเดือน ทั้งประสิทธิภาพการทำงานของคนก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน ตามสภาวะจิตใจและสภาพแวดล้อม ทั้งยังจะมีปัญหากับการทำงานร่วมกับผู้อื่น นั่นหมายความว่า AI สามารถทำงานได้คุ้มทุนและรักษามาตรฐานการทำงานได้ดีกว่าแรงงานคน
5. ฝึกใช้ความคิดให้มาก ๆ
อย่างที่บอกว่าข้อได้เปรียบที่มนุษย์มีเหนือกว่า AI คือการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ถึง AI จะฉลาดมาก แต่ AI ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันทำงานตามคำสั่งที่เราป้อนเข้าไป ดังนั้น งานอะไรก็ตามที่ยังต้องใช้อารมณ์ความรู้สึก ใช้ความละเอียดรอบคอบ ใช้สมองสร้างสรรค์อย่างซับซ้อน งานที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ หรือการแก้ไขปัญหาแปลก ๆ ยังมีแค่มนุษย์ที่ (ศักยภาพสูง) ทำได้ คนกลุ่มนี้จึงมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกนานพอสมควร เพราะ AI ยังทำหน้าที่วิเคราะห์ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแทนคนไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา:
ไอทีจีเนียส เอ็นจิเนียริ่ง (IT Genius Engineering) ให้บริการด้านไอทีครบวงจร ทั้งงานด้านการอบรม (Training) สัมมนา รับงานเขียนโปรแกรม เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น งานออกแบบกราฟิก และงานด้าน E-Marketing ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้ง SEO , PPC , และ Social media marketting
ติดต่อเราเพื่อสอบถามผลิตภัณฑ์ ขอราคา หรือปรึกษาเรื่องไอที ได้เลยค่ะ
Line : @itgenius (มี @ ด้านหน้า) หรือ https://lin.ee/xoFlBFeFacebook : https://www.facebook.com/itgeniusonline
Tel : 02-570-8449 มือถือ 088-807-9770 และ 092-841-7931
Email : contact@itgenius.co.th
แนะนำหลักสูตรอบรมที่น่าสนใจ
PHP OOP and MySQL
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เขียน PHP มาได้ซักระยะแล้วหรือผ่านการอบรมตัว Introduction t...
Basic ASP.net 4.0 (คอร์สพื้นฐาน)
ภาษา ASP นับเป็นอีกภาษาในการเขียนเว็บโปรแกรมมิ่งจากทางฝั่ง Microsoft ซึ่งตัวภาษาจะมีพื้...
jQuery Mobile
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งาน jQuery มาซักระยะแล้วหรือผ่านการอบรมในหลักสูตร Introd...
Introduction to Joomla
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้าง Website ด้วยตัวเองแต่ไม่ถนัดในการเขียนโปรแกรม...
SEO ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับ
การทำ SEO ถือได้ว่าเป็นช่องทางในการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลกออนไลน์...
คำค้นหา : artificial intelligenceเทคโนโลยีตัว aiงานที่มีความเสี่ยงสูงงานที่ทำแบบกิจวัตรหัวใจการทำงานของ aiแรงงานฝ่ายผลิตเตรียมแผนสำรองทำงานร่วมกับ aiประโยชน์จาก ai