SD Association ประกาศ SD Card มาตรฐานใหม่ รองรับความจุถึง 128 TB

องค์กร SD Association ประกาศ SD Card มาตรฐานใหม่ รองรับความจุถึง 128 TB
การ์ดหน่วยความจำ SD Card รุ่นใหม่ที่สามารถจุข้อมูลได้เพิ่มมากขึ้นกำลังจะมา เมื่อทาง SD Association (องค์กรที่ดูแลมาตรฐานของ SD Card) ได้ประกาศเปิดตัวสเปคการ์ดรุ่นใหม่แล้ว

โดย SD Card มาตรฐานใหม่จะมีพื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆ ได้สูงสุดถึง 128 TB และเพิ่มความเร็วของการรับส่งข้อมูลให้สูงถึง 985 MB ต่อวินาทีอีกด้วย

ที่ผ่านมาพื้นที่จัดเก็บบน SD Card ที่ทาง SD Association ได้วางมาตรฐานเอาไว้มีความจุสูงสุดอยู่ที่ 2 TB ซึ่งเป็นการออกแบบที่มีมาตั้งแต่ช่วงปี 2009 แต่เพิ่งจะมีการผลิต SD Card ที่สามารถจุข้อมูลได้ 2 TB ออกมาเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมานี้เอง

ซึ่งมี SanDisk เป็นรายแรกที่ได้ผลิต SD Card ขนาด 1 TB ออกมา แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป โดยทาง SanDisk กล่าวว่าการพัฒนาหน่วยความจำใน SD Card ให้มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมีเทคโนโลยีอย่างเช่น วิดีโอ 4K และ VR เข้ามาและมันก็จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำที่มีพื้นที่ความจุมากพอที่จะรองรับกับคุณภาพที่สูงขึ้นของพวกมันนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามการกำหนดราคาของ SD Card ที่มีพื้นที่ความจุจำนวนมหาศาลแบบนี้ก็ยังถูกจำกัดในเรื่องของราคาอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างตัว SanDisk 512GB SD Card นั้น ในตอนแรกมีราคาอยู่ที่กว่า 800 เหรียญ และถึงแม้ว่าในตอนนี้จะมีการลดราคาลงแล้วก็ตามคุณก็ยังต้องจ่ายกว่า 300 เหรียญ (ประมาณหมื่นบาท) เพื่อให้ได้มันมาอยู่ดี

นอกจากในเรื่องของความจุแล้วก็ยังมีเรื่องของความเร็วในการขนย้ายข้อมูลแบบใหม่ออกมาให้ได้ทราบกันอีกด้วย มันจะถูกเรียกว่า SD Express นั่นเอง ซึ่งจะมาพร้อมกับ SD Card ทุกประเภท แต่ในส่วนของพื้นที่ความจำที่สูงขึ้นนั้นจะถูกเรียกว่า SD Ultra Capacity (SDUC) Card

การ์ดที่เร็วที่สุดในขณะนี้ เป็นของ Sony 128 GB ที่ใช้มาตรฐาน UHS-II ทำความเร็วได้ประมาณ 299 MB/S แต่มาตรฐานใหม่นี้ การ์ดขนาด 128 TB จะทำความเร็วได้ถึง 985 GB/S เลยทีเดียว โดยเป็นการอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยี PCIe และ NVMe

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการออกมาตรฐานของ SD Card แบบใหม่ที่มีพื้นที่หน่วยความจำเยอะขึ้นได้แล้ว แต่ก็คงใช้เวลาอีกสักพักถึงจะมีผู้ผลิต SDUC ออกมาให้ได้เห็นกันในท้องตลาด แต่ก็มีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าอาจจะรอกันอีกไม่นานมากนักเพราะในขณะนี้ก็มีการพัฒนาความละเอียดของวีดีโอออกมาสูงขึ้น และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่เพียงพอและทำให้บริษัทผู้ผลิตคุ้มค่าที่จะลงทุน

ที่มา: